Saturday, April 29, 2017

11 ล้านวิว !! คลิปหนูน้อยร้องไห้โฮ ตามหาตูบแสนรักหายตัวไป จนสุดท้ายได้เจอกัน




          หนูน้อยอัดคลิปขอโซเชียลช่วยตามตูบแสนรักที่หายตัวไป คิดถึงสุดใจจนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ด้านโลกออนไลน์แห่เข้าไปดูนับ 11 ล้านวิว จนได้เจอกันในที่สุด กลับมาคราวนี้กอดแน่นไม่ปล่อยเลย

           เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโลกออนไลน์พากันแชร์คลิปวิดีโอสุดน่าสารของหนูน้อยเมดิสัน วอลเลซ ที่ออกมาร้องไห้โฮขอความช่วยเหลือจากชาวโซเชียล ให้ช่วยตามหาสุนัขแสนรักของเธอ หลังจากหายตัวไป ซึ่งเธอรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากและคิดว่าจะไม่ได้พบเจอมันอีกแล้ว  

 
           จากรายงานของเว็บไซต์เดอะโดโด้ (วันที่ 24 เมษายน 2560) เจ้าบัดดี้ ตูบสัตว์เลี้ยงของหนูน้อยเมดิสันได้หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา โดยแอบหนีออกไปทางสนามหลังบ้านของครอบครัวในเมืองเขตแอครอน รัฐโอไฮโอ สหรัฐฯ ซึ่งโชคร้ายมาก ๆ ที่ขณะนั้นเจ้าบัดดี้ไม่ได้สวมปลอกคอที่มีไมโครชิปอยู่ ทำให้ครอบครัวไม่สามารถติดตามหาตัวมันได้

  
          จนกระทั่งเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2560 ทางครอบครัวโดย ลอร่า วอลเลซ คุณแม่ของหนูน้อยเมดิสัน ก็ได้อัดคลิปวิดีโอของลูกสาวที่วอนขอผ่านทางโซเชียลไปยังผู้ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง เผื่อว่าจะมีใครพบเห็นตัวมัน แต่ระหว่างที่พูดนั้น หนูน้อยก็ไม่สามารถกลั้นความรู้สีกได้ น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความคิดถึงเจ้าบัดดี้สุดหัวใจ ทำให้หลายคนได้ทราบว่าเจ้าบัดดี้มันมีความสำคัญกับเธอมาก 

 
           ในคลิปวิดีโอ หนูน้อยเมดิสันร้องไห้ไปพร้อมกับพยายามพูดว่า "ถ้าใครเห็นเจ้าบัดดี้ ช่วยกรุณาพามันมาส่งที่บ้านหนูน้อยนะคะ" หลังจากนั้นไม่นานคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ถูกแชร์ออกไปเป็นจำนวนมากกว่า 3 พันครั้ง ยอดผู้เข้าไปชมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนไปถึง 11 ล้านวิว

  
            และแล้วความปราถนาของหนูน้อยก็สำเร็จผล ในที่สุดเมดิสันและครอบครัวก็ได้รับข่าวดีที่รอคอย เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา มีหญิงรายหนึ่งติดต่อไปยังครอบครัววอลเลซ แจ้งว่าพบเจ้าบัดดี้ที่หลบหนีออกมาแล้วและอยู่ในอาการปลอดภัยดี

  
             เมื่อได้ทราบที่อยู่ของเจ้าบัดดี้ ครอบครัวพร้อมหนูน้อยเมดิสันก็รีบมุ่งหน้าไปหามันในทันที เมื่อหนูน้อยได้พบกับเจ้าตูบแสนรักที่หายไป เธอวิ่งพุ่งตัวเข้าไปกอดมันด้วยความคิดถึงและดีใจอย่างที่สุดที่ได้เจอกันอีกครั้ง ยิ้มไม่ยอมหุบเลยราวกับเป็นคนละคนกับสาวน้อยที่ร้องไห้โฮในคลิปวิดีโอ โดยหลังจากเจ้าบัดดี้กลับมาคราวนี้ หนูน้อยเมดิสันก็กอดมันเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยมือเลยทีเดียว

https://pet.kapook.com/view170394.html

Saturday, April 22, 2017

เจ้าของพูดไม่ออก...ทิ้งสุนัขไว้ที่ร้านตัดขน แต่ไหงตอนมารับกลับเป็นแบบนี้




      เจ้าของพูดไม่ออก...ทิ้งสุนัขไว้ที่ร้านตัดขน แต่ไหงตอนมารับกลับเป็นแบบนี้ ถูกจับโกนขนซะโกร๋น เหตุเพราะสื่อสารกันไม่เคลียร์ คิดว่าแค่จับตัดขนให้สั้น

       วันที่ 20 เมษายน 2560 เว็บไซต์มิเรอร์ รายงานว่า คู่รักคู่หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในแลงคาเชอร์ ประเทศอังกฤษ มีอันต้องช็อกหนักมากเมื่อนำเจ้าตูบพันธุ์ซามอยด์ 2 ตัว ไปฝากไว้ที่ร้านประจำ เพื่อให้ทำการอาบน้ำตัดขนสุนัขของเธอให้สวยงาม อย่างไรก็ตามเธอไม่คาดแม้แต่น้อยว่าจะได้พบกับภาพชวนช็อก เมื่อสุนัขตัวหนึ่งของเธอกลับถูกจับโกนขนออกไปทั้งตัว
       ด้าน หลุยส์ ทอมป์สัน วัย 37 ปี เจ้าของสุนัข เผยว่า หลังจากที่เธอนำสุนัขไปทิ้งไว้ที่ร้าน Happy Dog Groomers เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2560 ในเวลาต่อมาเธอก็ได้รับข้อความเสียงจากเจ้าของร้าน ที่บอกว่า เจ้าแดช อายุ 3 ปี ขนพันยุ่งเป็นสังกะตัง และจำเป็นต้องโกนขนออกให้สั้น

       ในขณะที่เธอคิดว่าเจ้าแดชคงจะถูกโกนขนออกเพียงส่วนเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเธอไปรับมันที่ร้านก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เพราะมันถูกโกนขนออกไปหมดจนเธอแทบจำมันไม่ได้ มันทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก ได้แค่นำสุนัขทั้ง 2 ตัวขึ้นรถ แล้วก็ปล่อยโฮออกมาด้วยความรู้สึกแย่ ที่ปล่อยให้คนอื่นมาทำกับมันแบบนี้

       ทั้งนี้หลุยส์เข้าใจว่าสุนัขของเธออาจจะแปรงขนยาก แต่มันก็ไม่ควรถูกโกนขนจนกุดไปทั้งตัวแบบนี้ เจ้าของร้านควรจะปรึกษาเธอก่อนที่จะลงมือโกนขนมัน และเนื่องจากซามอยด์เป็นพันธุ์ที่มีขน 2 ชั้นเพื่อป้องกันอากาศร้อนและเย็น การที่มันไม่มีขนปกคลุมร่างกายอาจส่งผลเสียอย่างมาก

       แม้เธอจะได้รับเงินคืนจากทางร้าน แต่ก็ดูจะไม่คุ้มเลยกับค่าใช้จ่ายในการหาเสื้อผ้าและโลชั่นกันแดดมาทาให้แก่เจ้าแดช ขณะที่แฟนของเธอก็รู้สึกตกใจ และเศร้าที่เห็นเจ้าแดชเป็นเช่นนี้ ชี้ว่าการที่ไม่มีขนปกคลุมตัวอาจทำให้มันต้องพบกับความลำบากตอนออกไปเดินเล่นช่วงฤดูร้อนนี้ แถมยังอาจทำให้มันรู้สึกแย่ ขาดความมั่นใจ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองโป๊อยู่ด้วย

       ด้าน ริชาร์ด โคป เจ้าของร้าน Happy Dog Groomers ได้ชี้แจงว่า เขาได้อธิบายกับลูกค้าแล้วก่อนโกนขนเจ้าแดช และยืนยันว่าเขาทำงานกับสัตว์มาทั้งชีวิต รู้ดีว่าสุนัขพันธุ์นี้ไม่ควรไว้ขนจนยาวเฟื้อย และไม่ควรโกนขนมันออก ดังนั้นเขาจะไม่โกนขนสุนัขหรอกหากไม่ใช่ความต้องการของเจ้าของ เว้นเสียแต่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสุนัข เขาเห็นขนของมันเป็นสังกะตัง ทำให้มันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดตอนถูกแปรงขน เขาจึงส่งข้อความเสียงไปบอกเจ้าของ ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็ตอบกลับว่าให้ลงมือได้เลย

       ทั้งนี้เขายังได้เตือนทั้งคู่ให้เตรียมใจกับความเปลี่ยนแปลงของมันแล้วด้วย พร้อมยินดีคืนเงินให้เมื่อทั้งคู่ไม่แฮปปี้กับสภาพของสุนัข

ภาพจาก manchestereveningnews.co.uk
https://pet.kapook.com/view169869.html

Tuesday, April 11, 2017

นาทีมรณะ ชายอินเดียดับ หลังเอางูเห่าคล้องคอถ่ายรูป แล้วโดนฉกไม่รู้ตัว (มีคลิป)




      เปิดคลิปนาทีมรณะ นักท่องเที่ยวอินเดียเอางูเห่าคล้องคอเพื่อโพสท่าถ่ายรูป โดนฉกกัดไม่รู้ตัว รู้สึกอีกทีก็หน้ามืดหมดสติ ถูกหามส่งโรงพยาบาลแต่สายเกินไป เสียชีวิตในที่สุด

      เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2560 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานว่า ชายชาวอินเดียคนหนึ่งเสียชีวิตจากพิษงูเห่า หลังจากโพสท่าถ่ายรูปกับอสรพิษร้ายขณะไปท่องเที่ยว แล้วโดนฉกกัดใบหน้าโดยที่ไม่ทันรู้ตัว


      เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่โยธะปุระ เมืองในรัฐราชสถาน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ชายผู้เคราะห์ร้ายเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังเมืองนี้  ซึ่งชาวบ้านเอางูเห่าตัวใหญ่มาวางพาดบนคอของเขาเพื่อให้โพสท่าถ่ายรูปแบบหวาดเสียว

  
      ในจังหวะที่งูเห่าถูกยกตัวพาดคอของนักท่องเที่ยวชายรายนี้ จะเห็นได้ว่ามันหันหัวกลับมาฉกเข้าที่บริเวณใบหน้าด้านข้างของเขา จังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นรวดเร็วมากเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น นักท่องเที่ยวยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองโดนฉกเข้าให้แล้ว
  
      หลังจากถูกฉก นักท่องเที่ยวยกมือขึ้นมาลูบบริเวณใบหน้า เพราะน่าจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น เขายังถามเจ้าของงูว่าเขาถูกงูฉกหรือไม่ แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขา สถานการณ์ทุกอย่างยังดูปกติอยู่หลายนาที จนกระทั่งเขาล้มลงหมดสติ แต่แทนที่ชาวบ้านจะรีบพาเขาส่งพยาบาล กลับพาไปหาคนปฐมพยาบาลซึ่งไม่มีเซรุ่ม ทำให้เขาเสียชีวิตใน 1 ชั่วโมงต่อมา

      ทั้งนี้ไม่ปรากฏชัดเจนว่างูเห่าที่ปรากฏในคลิปเป็นงูเห่าชนิดใด เนื่องจากประเทศอินเดียมีงูเห่าอยู่มากถึง 5 ชนิดด้วยกัน แต่พวกมันมีพิษร้ายแรงด้วยกันทั้งสิ้น และสามารถคร่าชีวิตมนุษย์ได้เพียงการฉกแค่ครั้งเดียว

ภาพจาก Viral India
https://hilight.kapook.com/view/151815

Saturday, April 8, 2017

ชมพิธีกรรมสุดแปลก เอาทารกใส่ในท้องสัตว์ เพื่อให้เติบโตมาเป็นนักล่าที่แข็งแกร่ง (มีคลิป)




      เปิดคลิปพิธีรับขวัญเด็กแรกเกิดแบบสุดทึ่ง เอาเด็กทารกใส่ท้องซากสัตว์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองเด็กในอนาคต

       เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2560 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานข่าวสุดแปลก กลุ่มชาวบ้านเอาเด็กทารกแรกเกิดใส่เข้าไปในท้องว่างเปล่าของสัตว์ (น่าจะเป็นม้าหรือวัว) ดึงเอาหนังมาหุ้มปิด แล้วพึมพำกล่าวคาถาอวยพร เชื่อว่าเป็นพิธีกรรมที่ช่วยปกป้องเด็กในอนาคตและเพื่อให้เติบโตมาเป็นเด็กที่แข็งแกร่ง ไม่เกรงกลัวสิ่งใด

  
            ชาวบ้านที่มาร่วมชมพิธีกรรมดังกล่าวได้ถ่ายคลิปวิดีโอเอาไว้ โดยจากในคลิปจะเห็นได้ว่า ชายผู้ประกอบพิธีเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขน ข้างหน้าเขามีซากสัตว์ตัวหนึ่งนอนหงายท้องอยู่ ท้องของมันถูกผ่าเปิดเป็นช่องว่าง อวัยวะภายในถูกควักออกไปหมดแล้ว แต่ยังมีเลือดสีแดงหลงเหลืออยู่ให้เห็น


      ผู้ประกอบพิธีอุ้มวางทารกลงในท้องของสัตว์ พร้อมกับกล่าวว่า "จงปกป้องคุ้มครองเขา จงทำให้เขาเติบโตมาเป็นนักล่าที่แข็งแกร่ง ทำให้เขากล้าหาญ ไม่เกรงกลัวภยันตรายใด ๆ" หลังจากนั้นก็ดึงเอาหนังมาหุ้มปิด ทำแบบนี้ซ้ำ ๆ อยู่ 2-3 ครั้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็อุ้มเด็กกลับขึ้นมา

        ผู้ชมที่ยืนชมอยู่รอบ ๆ กล่าวว่าเด็กคนนี้ทำได้ดีมาก เขานอนอย่างสบายอยู่ข้างใน ส่วนผู้หญิงอีกรายพูดขึ้นมาว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ตอนนี้พวกเขายอมรับเด็กคนนี้แล้ว

       เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา แต่ไม่ปรากฏชัดเจนว่าเกิดขึ้นที่บริเวณส่วนใดของประเทศ

https://hilight.kapook.com/view/151466

Saturday, April 1, 2017

ช็อก พบสาวถูกจับเปลือยผ้า-ขังลืมในห้องมืดนาน 16 ปี เหตุเพราะแอบตั้งท้อง




            เปิดเรื่องราวสุดสะเทือนใจ หญิงชาวบราซิลถูกพี่ชายจับขังลืมในห้องแคบ ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันนานกว่า 16 ปี เหตุแค่เพราะเธอตั้งท้อง ด้านพี่ชายถูกตำรวจจับ แต่รับโทษติดคุกแค่ 8 ปี

            เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2560 เว็บไซต์เดลี่เมล เปิดเผยเรื่องราวสุดสลดหดหู่ใจจากประเทศบราซิล ระบุว่า มาเรีย ลูเซีย เด อัลเมดา บรากา หญิงสาววัย 36 ปี ถูกครอบครัวของเธอลงโทษอย่างเลวร้าย หลังจากจับได้ว่าเธอแอบตั้งครรภ์ โดยเธอถูกจับขังในห้องเล็ก ๆ แคบ ๆ ไม่ได้ออกไปดูโลกภายนอกที่ไหนเลยมาเป็นเวลานานถึง 16 ปี

            เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นในตอนที่มาเรียเป็นหญิงสาววัย 20 ปี เธอแอบพบรักอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ครอบครัวไม่เห็นดีเห็นงามด้วยและตั้งครรภ์กับเขา หลังจากที่ครอบครัวรับรู้ว่าเธอท้อง โจอาว เด อัลเมดา บรากา พี่ชายของเธอ ก็ตัดสินใจลงโทษเธอสถานหนัก เขาจับเธอไปขังไว้ในห้องแคบ ๆ ในที่ดินร้างเปล่าเปลี่ยวของครอบครัว ที่ตั้งอยู่ในเมืองอูรูบูเรเตมา ในรัฐเซอารา ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล

            ห้องที่มาเรียถูกจับขังมีสภาพเลวร้ายกว่าห้องขังในเรือนจำ มันเล็กและแคบมาก มีขนาดกว้าง 3 เมตร และยาว 3 เมตรเท่านั้น ภายในห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกใด ๆ มีเพียงแค่เปลผ้า 1 อันขึงเอาไว้ใช้นอน ไม่มีห้องส้วม ไม่มีหลอดไฟ แสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่มีคือแสงที่ลอดผ่านทางหน้าต่างซึ่งมีเหล็กดัดติดไว้ แต่ส่วนใหญ่แล้วมาเรียต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเพราะหน้าต่างปิดอยู่แทบจะตลอดเวลา หน้ำซ้ำเธอต้องอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ไม่มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ และได้รับอาหารแค่เพียงวัน 2 ครั้งเท่านั้น 

 
            แม่ของมาเรียไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับการลงโทษลูกสาว แต่เธอไม่สามารถสู้รบตบมือกับลูกชายและสามีได้ เรื่องนี้มันทำให้เธอตรอมใจ สุดท้ายก็กลายเป็นคนมีปัญหาทางจิต และต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา ขณะที่มาเรียตั้งครรภ์จนท้องโตและคลอดลูกออกมาภายในห้องขัง ลูกของเธอเป็นผู้ชาย แต่มาเรียไม่เคยได้มีโอกาสทำหน้าที่แม่ ไม่แม้แต่จะได้ทันตั้งชื่อ เพราะทันทีที่คลอดออกมา พ่อของเธอก็ยกลูกชายตัวน้อยให้กับคนอื่นเสียแล้ว และมาเรียก็ต้องทนอยู่ในห้องขังแห่งนี้ต่อไป ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย

  
          จนกระทั่งเวลาผ่านไป 16 ปี ตำรวจประจำรัฐเซอาราได้เบาะแสเรื่องของมาเรียจากผู้ประสงค์ดีที่ไม่เอ่ยนาม ตำรวจจึงนำกำลังเข้าไปตรวจสอบที่บ้านหลังนี้ในวันที่ 9 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ต้องทุบทำลายกลอนแน่นหนาหลายชั้นกว่าจะสามารถเปิดประตูเข้าไปได้ สภาพภายในห้องเลวร้ายมาก มีกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ทันทีที่มาเรียเห็นเจ้าหน้าที่ เธอก็วิ่งถลาเข้ามาหาพวกเขา

            โฆษกตำรวจ เปิดเผยว่า บริเวณที่ตั้งของห้องขังแห่งนี้มีความเปลี่ยวมาก มันเป็นพื้นที่ที่ไม่มีใครผ่านเข้ามา ไม่มีถนน ไม่มีรถวิ่งผ่าน ดังนั้นไม่ว่ามาเรียจะกรีดร้อง หรือส่งเสียงขอความช่วยเหลือดังอย่างไร ก็ไม่มีใครที่ไหนได้ยิน

            "ตอนที่ตำรวจพบมาเรีย เธออยู่ในสภาพที่ผอมโซอย่างมาก แต่ตอนนี้เธอได้รับการช่วยเหลือแล้ว เธอรับประทานอาหารได้ น้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นมาเป็นปกติ เธอสื่อสารด้วยการพูดอย่างยากลำบาก แต่ก็เริ่มต้นใช้วิธีเขียนเอาบ้างแล้ว" โฆษกตำรวจ กล่าว

 
            หลังจากเจ้าหน้าที่บุกเข้าช่วยเหลือมาเรีย โจอาว พี่ชายของเธอที่ตอนนี้อายุ 48 ปี ก็ได้หลบหนีไป แต่เขาถูกจับกุมตัวได้ในวันที่ 29 มีนาคม 2560 จากการสืบสวนคาดว่า พ่อของมาเรียน่าจะร่วมมือกับโจอาวในการคุมขังมาเรีย แต่เนื่องจากเขาป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง สุขภาพที่ย่ำแย่ทำให้เขารอดตัวจากการถูกจับกุมดำเนินคดี

            โจอาวถูกตั้งข้อหาทารุณกรรมและกักขังหน่วงเหนี่ยว แต่ถึงแม้ว่าเขาจะขังมาเรียมาเป็นเวลานานถึง 16 ปี แต่โทษของคดีนี้ไม่ได้หนักมากนัก ระยะเวลาที่โจอาวถูกจำคุก อย่างมากที่สุดก็แค่ 8 ปีเท่านั้น

 
            สำหรับลูกชายของมาเรียนั้น ตำรวจสามารถสืบจนพบตัวแล้ว เขามีอายุ 15 ปี ตอนนี้เจ้าหน้าที่คาดหวังว่าเขาจะได้พบหน้าแม่ที่แท้จริงเป็นครั้งแรกได้ในเร็ว ๆ นี้

ภาพจาก policiacivil, girosertao
https://hilight.kapook.com/view/151236