Tuesday, May 31, 2016

คนอะไรอยู่กับหมี พบครอบครัวที่อยู่ร่วมกับหมีมา 23 ปี สมาชิกตัวนี้ทั้งใจดี แถมขี้อ้อนสุด ๆ




           คู่รักชาวรัสเซียรับอุปการะลูกหมีกำพร้า เลี้ยงดูอย่างดีตลอดเวลา 23 ปีที่ผ่านมา บัดนี้มันเติบใหญ่ กลายเป็นพี่หมีตัวโตแต่ใจดี ขี้เล่น และชอบกอดคนเป็นที่สุด

            นิยามคำว่า สัตว์เลี้ยง ของมนุษย์ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การเลี้ยงสุนัขกับแมวอีกต่อไปแล้ว วันที่ 30 พฤษภาคม 2559 เว็บไซต์ Bored Panda  เปิดเผยเรื่องราวของ สเตฟาน (Stepan) พี่หมีตัวล่ำบึ้กวัย 23 ปี ที่ถูกคู่รักชาวรัสเซียเลี้ยงดูมาตั้งแต่แบเบาะ จนตอนนี้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวไปแล้ว เห็นหน้าตาโหดแบบนี้ แต่พี่เขามุ้งมิ้งมากนะจะบอกให้

 
            สเว็ตลานาและยูรี แพนทีลีนโก สองสามีภรรยาชาวกรุงมอสโก รับเลี้ยงหมีกำพร้าวัย 3 เดือน ที่ถูกพบตัวเข้าโดยนายพราน ซึ่งตอนนั้นมันมีสภาพย่ำแย่ และสุขภาพไม่ค่อยจะสู้ดีนัก การรับหมีมาเลี้ยงนั้นเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อสำหรับคนธรรมดา ๆ แต่ทั้งคู่ก็ตัดสินใจดูแลสเตฟานน้อยอย่างดี

  
          จากวันนั้นถึงวันนี้ เวลาล่วงเลยมานาน 23 ปี สเตฟานในปัจจุบันกลายเป็นพี่หมีตัวยักษ์ ที่รักการนั่งทอดหุ่ยบนโซฟา จ้องจอโทรทัศน์รอดูรายการโปรด นอกจากนี้ก็มีช่วยงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการรดน้ำต้นไม้ในสวน แหม จะฉลาดอะไรขนาดนี้

 
            สเตฟานกินผัก ไข่ และปลาวันละ 25 กิโลกรัมเป็นอาหาร แถมยังชอบแสดงความรักกับเจ้าของด้วยการกอด ซบ ถูไถ และคลอเคลีย ส่วนกีฬาแมน ๆ ที่พี่หมีชอบที่สุดคือการเตะฟุตบอล มันระเบิดระเบ้อไปเลย

  
           “มันเป็นหมีที่มีอัธยาศัยดีมาก เข้าสังคมเก่ง และไม่เคยแสดงท่าทีก้าวร้าวเลย เราไม่เคยถูกสเตฟานกัดเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ครอบครัวแพนทีลีนโกกล่าวถึงสเตฟาน

 
            อีกหนึ่งสิ่งที่ยืนยันความใจดี ของสเตฟานได้เป็นอย่างดี คือการที่พี่หมีตัวโตสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้โดยไม่มีอาการก้าวร้าว สเตฟานผ่านงานในวงการบันเทิงมาแล้วหลายรูปแบบ ทั้งงานโชว์ตัว งานถ่ายภาพคู่กับนางแบบสาว ๆ และงานโฆษณาอีกหลายชิ้น โอ้โห นี่มันพี่หมีซุปตาชัด ๆ อิอิ

 
          
  ใครอยากติดตามชีวิตหมี ๆ ของเจ้าสเตฟานและครอบครับแพนทีลีนโก ก็สามารถแวะเวียนไปชมที่เฟซบุ๊ก Светлана Пантелеенко ได้ด้วยนะ...แหม นี่มันพี่หมีซุปตาชัด ๆ อิอิ
























http://hilight.kapook.com/view/137459

Friday, May 27, 2016

ผอ.ศูนย์พักพิงสัตว์ฆ่าตัวตาย หลังซึมเศร้าหนักเพราะจำต้องปลิดชีพสุนัขนับร้อย




       ผู้อำนวยการสาวแห่งศูนย์พักพิงสัตว์จรจัดในไต้หวันตัดสินใจฆ่าตัวตาย หลังเครียดหนักจนป่วยซึมเศร้า เพราะรู้สึกผิดที่จำเป็นต้องการุณยฆาตสุนัขจรจัดหลายตัวในศูนย์ เพื่อให้มีที่พักพิงพอเพียงสำหรับสัตว์ตัวอื่น ๆ ที่จะรับเพิ่มเข้ามา


        วันที่ 23 พฤษภาคม 2559 เว็บไซต์เดลี่เมล เปิด เผยเรื่องราวสุดสะเทือนใจ เจี้ยนจี้เชง สัตวแพทย์และผู้อำนวยการศูนย์พักพิงสัตว์จรจัด ชินวู ในไต้หวัน วัย 31 ปี ถูกกลุ่มคนรักสัตว์ประณามจนไม่เหลือที่ยืน และมอบฉายาว่า นักฆ่าหมาหน้าสวย หลังมีข่าวว่าเจ้าตัวจำเป็นต้องการุณยฆาตสุนัขจรจัดบางส่วน เพราะศูนย์พักพิงแทบไม่เหลือที่พอสำหรับสัตว์อื่น ๆ และเพื่อรักษาคุณภาพชีวิตสัตว์ในศูนย์พักพิง

 
        เป็นที่รู้กันดีในหมู่เพื่อนร่วมสายอาชีพ ว่า สัตวแพทย์หญิงเจี้ยนจี้เชงนั้น เป็นคนใจดี มีเมตตา และอุทิศตนให้กับการดูแลสัตว์ทุกชนิดมาก เธอดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการศูนย์พักพิงสัตว์ชินวูมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แล้ว และที่ผ่านมาก็เคยช่วยเหลือสุนัขหลายตัวให้ได้มีบ้านถาวร รวมถึงยังสนับสนุนและรณรงค์การรับเลี้ยงสัตว์จากศูนย์พักพิง แทนที่จะไปซื้อจากฟาร์มเพาะพันธุ์

  
      แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก ในฐานะสัตวแพทย์ งานของเธอคือการช่วยเหลือสัตว์ แต่ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พักพิง งานของเธอคือการควบคุมจัดการให้ศูนย์อยู่ในสภาพที่ดีในทุกด้าน จนเมื่อถึงจุดที่สัตว์จรจัดมีมากเกินกว่าศูนย์จะรับไหว เจี้ยนจี้เชงจึงจำเป็นต้องทำในสิ่งที่เธอไม่เคยคิดจะทำมาก่อน คือการฉีดยาให้สุนัขหลับไปอย่างสงบ รายงานระบุว่า ในระยะเวลา 2 ปี เธอจำใจต้องการุณยฆาตเหล่าสุนัขไปกว่า 700 ตัว 


        เจี้ยนจี้ เชง เคยเปิดใจกับรายการโทรทัศน์ว่า เธอถูกกลุ่มคนรักสุนัขประณามอย่างสาหัส หลังมีข่าวว่า ผอ.ศูนย์ชินวูฉีดยาให้สุนัขตาย และยังได้รับฉายาว่า นักฆ่าหมาหน้าสวย นั่นทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิดบาป จนนำมาสู่ภาวะซึมเศร้า ซึ่งในที่สุดก็นำมาสู่การตัดสินใจฆ่าตัวตาย

 
        ในวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 สัตวแพทย์หญิงเจี้ยนจี้เชง ฆ่าตัวตายในบ้านของตัวเองด้วยวิธีการฉีดยาแบบเดียวกับที่ใช้การุณยฆาตสุนัข สามีและตำรวจมาพบตัวเธอก่อนสิ้นใจ แต่น่าเศร้าที่เธอเสียชีวิตในเวลาต่อมาที่โรงพยาบาล ทั้งนี้ยังไม่มีการสรุปสาเหตุการตายที่แน่ชัดแต่อย่างใด

  
       ด้าน เอลิซา อัลเลน รองผู้อำนวยการองค์กรพิทักษ์สัตว์ PETA ระบุกับสื่อว่า เจี้ยนจี้เชงคือหนึ่งในเหยื่อของวงจรอุบาทว์ ที่เกิดขึ้นจากผู้ไร้ความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูสัตว์ เมื่อไม่รักก็ปล่อยทิ้งให้กลายเป็นสัตว์จรจัดตามยถากรรม และแน่นอนว่าศูนย์พิทักษ์สัตว์ไม่อาจปฏิเสธที่จะไม่รับสัตว์มาดูแลได้ ถือเป็นการปัดภาระไปให้คนที่รักสัตว์อย่างแท้จริง

 
        ทั้ง นี้ ทาง PETA เองก็ได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของเจี้ยนจี้เชง และขอประณามผู้ที่ทิ้งขว้างสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงผู้ที่ให้การสนับสนุนการขยายพันธุ์สัตว์จรจัดจนเป็นปัญหาสังคม นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือและรณรงค์ให้รับเลี้ยงสัตว์จากศูนย์พักพิง แทนที่จะซื้อมาจากผู้เพาะพันธุ์ เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นเหมือนในกรณีนี้



ภาพจาก people
http://hilight.kapook.com/view/137294

Wednesday, May 25, 2016

ตะลึง ทารกน้อยเกิดมามีหางยาวเฟื้อย 6 นิ้ว งอกจากก้น




        ทารกน้อยชาวจีนถือกำเนิดพร้อมความผิดปกติ มีหางยาว 6 นิ้วงอกที่ก้น ครอบครัวตกใจแต่รับได้ แถมคิดว่าจะทำให้หาเงินได้ง่ายเมื่อโตขึ้น แต่ตอนนี้ได้รับการตัดหางทิ้งแล้วเรียบร้อย หลังผู้เป็นแม่ผิดสังเกตอาการขาอ่อนแรง

          เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2559 เว็บไซต์เดลี่เมล รายงานข่าวประเทศจีนว่า เด็กชายหยางหยาง ทารกวัย 11 เดือน จากมณฑลเสฉวน ได้รับการผ่าตัดเอาหางของเขาออกแล้วเรียบร้อย หลังคลอดออกมาพร้อมความผิดปกติมีหางลักษณะเป็นติ่งเนื้อยาวถึง 6 นิ้วงอกออกมาจากส่วนก้น

          แม่ของหยางหยาง เผยว่า ตอนไปพบแพทย์ระหว่างตั้งครรภ์ แพทย์ก็ไม่เคยแจ้งเลยว่าพบความผิดปกติใด ๆ ของลูกชาย กระทั่งผ่าคลอดออกมาแล้ว จึงได้พบว่าลูกน้อยมีหางด้วย แม้จะตกใจในตอนแรก แต่ก็รับได้ คิดว่าก็เป็นเพียงหางเท่านั้นไม่น่ามีปัญหา เวลาเปลี่ยนผ้าอ้อมลูกก็แค่ต้องยกหางขึ้นเท่านั้นเอง ขณะที่คุณย่าของหยางหยางยังคิดว่า การที่หลานมีหางน่าจะทำให้เขาหาเงินได้ง่ายเมื่อตอนโต
 
          แต่ต่อมาเธอสังเกตพบว่า หยางหยางดีดขาได้เบามาก ไม่เหมือนทารกคนอื่น ๆ จึงรีบเข้าปรึกษาแพทย์ ซึ่งได้พบว่าเป็นอาการสืบเนื่องมาจากความผิดปกติที่หยางหยางมีหาง และได้รอจนเด็กชายอายุ 11 เดือน จึงได้ลงมือผ่าตัดเป็นผลสำเร็จไปเมื่อไม่นานมานี้

          นายหลิน เจียงไค หัวหน้าทีมแพทย์ผ่าตัด เผยว่า หางของหยางหยางน่าจะเกิดจากความผิดปกติในการพัฒนาของระบบประสาทส่วนกลาง ตั้งแต่ทารกอายุ 1 เดือน โดยส่วนนี้จะพัฒนาต่อไปเป็นกระดูกสันหลังและระบบประสาท แต่ในกรณีของหยางหยางเกิดความผิดปกติ มีรูขึ้นที่กระดูกสันหลัง ทำให้เนื้อเยื่อไขสันหลังโผล่ออกมา กลายเป็นเมนิงโกซีล (Meningocele) ทำให้เกิดเป็นหางติ่งเนื้องอกออกมาแบบนี้ โดยคาดว่าสาเหตุทั้งหมดนั้นน่าจะมาจากการที่ร่างกายคุณแม่ขาดกรดโฟลิกขณะ ตั้งครรภ์

          นอกจากนี้นายแพทย์หลินยังระบุด้วยว่า หากปล่อยหางเอาไว้นานกว่านี้ เด็กชายมีโอกาสเสี่ยงกับปัญหาช่วงล่างของร่างกายมากทีเดียว

          ทั้งนี้ในประเทศอินเดีย ก็มีกรณีเด็กชายมีหาง ชื่อ อาชิด อาลี ข่าน วัย 13 ปี โดยมีหางงอกยาว 7 นิ้ว จนผู้คนพากันมากราบไว้เพราะเชื่อว่าเป็นหนุมานมาจุติ แต่ความผิดปกตินี้กลับทำให้เด็กชายไม่สามารถเดินได้ ต้องนั่งในรถเข็น เมื่อปีที่ผ่านมา แพทย์โรงพยาบาลในรัฐปัญจาบจึงได้ทำการผ่าตัดนำหางออกแล้ว เพื่อช่วยให้เขาเคลื่อนไหวร่างกายได้ดีขึ้น

ภาพจาก jiaodong
http://hilight.kapook.com/view/137185

Tuesday, May 24, 2016

โมเม้นท์ซาบซึ้งใจ ฮีโร่ทีมกู้ภัยระดมกำลังสุดตัว ช่วยลูกเป็ดตกท่อระบายน้ำ




         ปลื้มปริ่มหัวใจ คลิปอาสาสมัครทีมกู้ภัยระดมกำลังทุ่มสุดตัว ช่วยเพื่อนจับขามุดท่อระบายน้ำ เอื้อมลงไปช่วยชีวิตแก๊งลูกเป็ดน้อย คืนสู่อ้อมอกแม่เป็ดที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง น่านับถือน้ำใจที่สุด 

          แม้จะเป็นชีวิตน้อย ๆ ของสัตว์ตัวเล็กอย่างลูกเป็ด แต่ก็มีความสำคัญไม่ต่างไปจากชีวิตของคนเลย วันที่ 23 พฤษภาคม 259 เว็บไซต์เดลี่เมล ได้เผยคลิปดี ๆ ชวนให้อบอุ่นหัวใจ แสดงภาพช่วงเวลาแสนประทับใจเมื่อเจ้าหน้าที่ทีมอาสาสมัครกู้ภัยของเมืองออ คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์ จำนวน 3 ราย พากันร่วมแรงแข็งขันช่วยช่วยชีวิตลูกเป็ดตัวน้อย ๆ 8 ตัว ที่ตกลงไปในท่อระบายน้ำกลางเมือง โดยมีแม่เป็ดยืนร้อนใจกระสับกระส่ายอยู่ข้าง ๆ ประหนึ่งว่าอยากจะลงไปช่วยด้วยเต็มที

  
         ในคลิปจะเห็นได้ว่า เจ้าหน้าที่กู้รายหนึ่งได้นอนราบลงไปกับพื้นถนน แล้วมุดศีรษะเข้าไปในท่อระบายน้ำ เพื่อให้มือเอื้อมลงไปถึงตัวลูกเป็ดที่อยู่ด้านล่าง ปากก็คาบไฟฉายส่องลงไป เพียงไม่นานก็สามารถจับลูกเป็ดขึ้นมาได้ ส่งให้เพื่อนด้านบนจับใส่กรวยจราจรไว้ทีละตัว ๆ แต่ทั้งนี้ ก็ยังคงมีลูกเป็ดบางตัวอยู่ลึกมาก ๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ล้มเลิกความพยายามแต่อย่างใด ให้เพื่อนจับขาไว้แล้วหย่อนตัวเองลงไปให้ได้ลึกมากเท่าที่จะมากได้ จนในที่สุดก็สามารถช่วยลูกเป็ดขึ้นมาได้สำเร็จและปลอดภัยครบทั้ง 8 ตัว ก่อนจะนำไปปล่อยคืนให้กับแม่ของมัน 

  
          แม้จะเป็นการช่วยชีวิตเล็ก ๆ แต่สิ่งที่หลาย ๆ คนได้เห็นและสัมผัสรับรู้ได้จากกลุ่มเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ก็คือความอิ่มเอมในรอยยิ้มแห่งความสุขที่ได้ช่วยเหลือพวกมัน ซึ่งประเมินค่าหรือตีราคาไม่ได้เลยจริง ๆ :D




ภาพจาก Titirangi Volunteer Fire Brigade สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
http://hilight.kapook.com/view/137095