Friday, February 24, 2017

สาวรับเลี้ยงเหมียวตาบอด ทีแรกก็ไม่ไว้ใจตูบที่บ้าน แต่พอได้เห็นภาพเท่านั้น..ยิ้มเลย




         สาวรับเหมียวตาบอดมาเลี้ยง ตอนแรกก็เป็นกังวลว่าจะอยู่กับตูบที่บ้านได้ไหม แต่พอได้เห็นภาพเท่านั้น ความกังวลทุกอย่างก็พลันหายไปเลย เห็นแล้วอบอุ่นใจจริง ๆ  

          จะเรียกว่าเป็นสัตว์คู่กัดกันเลยก็ว่าได้ สำหรับเหมียวกับเจ้าตูบ ที่พอได้เจอหน้ากันทีไร ก็มักจะขู่กันให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่ไม่ใช่สำหรับเหมียวและตูบคู่นี้เลย เพราะแม้ว่าพวกมันจะเพิ่งรู้จักกัน แต่กลับเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ 

          เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2560 เว็บไซต์ Bored Panda เผยภาพพร้อมเรื่องราวชวนอบอุ่นหัวใจ ระบุว่า โฟบี กิลล์ หญิงสาววัย 24 ปี ได้ไปพบกับเจ้าสติทช์ เหมียวพิการตาบอดน่าเวทนาตัวหนึ่ง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ศูนย์สงเคราะห์ได้เผยกับเธอว่า ก่อนหน้านี้ ตาของมันได้รับบาดเจ็บข้างหนึ่ง และควรที่จะได้รับการรักษา แต่ทางเจ้าของเดิมของมัน กลับละเลยไม่ได้พามันไปหาสัตวแพทย์ ในที่สุดอาการก็หนักจนไม่สามารถรักษาได้ ต้องผ่าตัดลูกตาทิ้งไป



          หลังจากได้ฟังเรื่องราว โฟบีตัดสินใจรับเจ้าสติทช์มาเลี้ยง โดยเธอเผยว่า รู้สึกตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกเห็น เลยเลือกที่จะพามันกลับบ้านด้วย แต่ทั้งนี้ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเป็นกังวลใจนั่นก็คือ เจ้าอะลาสก้า ตูบสายพันธุ์บูลเทอร์เรีย ที่เธอเลี้ยงไว้อยู่ก่อนหน้านี้ กลัวว่ามันจะเข้ากับเจ้าสติทช์ได้ไหม แล้วมันจะทำอันตรายเพื่อนใหม่หรือเปล่า

 
          แต่แล้วเมื่อโฟบีพาเจ้าสติทช์ไปถึงบ้าน สิ่งที่เธอกังวลอยู่ทั้งหมดก็พลันหายไป เมื่อได้เห็นภาพสุดอบอุ่นหัวใจ สัตว์เลี้ยงทั้งสองสายพันธุ์ไม่เพียงแค่อยู่ด้วยกันได้ แต่พวกมันสนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นคู่หูเพื่อนซี้ ไม่ว่าโฟบีจะเดินไปไหน เจ้าตูบตัวนี้ก็เดินตามติดไปด้วยกันไม่ห่าง

  
           โฟบี เล่าว่า จนถึงตอนนี้ เจ้าเหมียวสติทช์ และเจ้าตูบอะลาสก้า ตัวติดกันแบบสุด ๆ ไปไหนก็ไปด้วยกัน หยอกเล่นด้วยกัน กินก็ต้องกินพร้อมกัน หรือแม้กระทั่งตอนนอน ก็ไม่ยอมแยกจากกันเลย ซึ่งเธอเชื่อว่าหากเจ้าสติทช์ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านได้ เจ้าอะลาสก้าก็คงตามติดไปด้วยแน่นอน... เห็นแล้วปลื้มใจแทนเจ้าของจริง ๆ เลย :D





















ภาพจาก เฟซบุ๊ก The Adventures of Alaska and Stitch, Instagram stitchtherescuecat
https://pet.kapook.com/view166625.html

No comments:

Post a Comment