รักของแม่นั้นยิ่งใหญ่เกินสิ่งใด
คุณแม่ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งยอมละทิ้งการรักษาทุกอย่าง เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกับลูกน้อยในครรภ์ แม้ว่ามันจะทำให้เธอทรุดหนักจนถึงแก่ชีวิต
และสุดท้ายแม้เธอจะจากไป แต่ทุกคนจะจดจำไว้ว่า
เธอเป็นทั้งนักสู้โรคมะเร็งที่กล้าหาญ และแม่ที่ยอดเยี่ยม
เว็บไซต์เดลี่เมล เผยแพร่เรื่องราวสุดซาบซึ้งใจของคุณแม่ลูกสองหัวใจนักสู้ สาวผู้ป่วยหนักจากโรคมะเร็ง แต่ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ลูกในท้องของเธอมีชีวิตรอด อินทิรา ชัยยะสุริยา เป็นชาวศรีลังกาโดยกำเนิด หลังจบชั้นมัธยม เธอย้ายมาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และแต่งงานมีครอบครัวอยู่ในประเทศอังกฤษ อินทิราค้นพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายในครั้งแรกในปี 2551 โดยก่อนหน้านี้เธอพบว่ามีก้อนแข็ง ๆ ในเต้านมของเธอ แต่เธอไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่ามันคงไม่มีอะไรร้ายแรง จนกระทั่งมันโตขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงตัดสินใจเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง และพบว่าก้อนแข็ง ๆ นั้นคือเนื้อร้าย และเธอกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง
เว็บไซต์เดลี่เมล เผยแพร่เรื่องราวสุดซาบซึ้งใจของคุณแม่ลูกสองหัวใจนักสู้ สาวผู้ป่วยหนักจากโรคมะเร็ง แต่ยอมทำทุกอย่างเพื่อช่วยให้ลูกในท้องของเธอมีชีวิตรอด อินทิรา ชัยยะสุริยา เป็นชาวศรีลังกาโดยกำเนิด หลังจบชั้นมัธยม เธอย้ายมาศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย และแต่งงานมีครอบครัวอยู่ในประเทศอังกฤษ อินทิราค้นพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายในครั้งแรกในปี 2551 โดยก่อนหน้านี้เธอพบว่ามีก้อนแข็ง ๆ ในเต้านมของเธอ แต่เธอไม่ได้ใส่ใจเพราะคิดว่ามันคงไม่มีอะไรร้ายแรง จนกระทั่งมันโตขึ้นเรื่อย ๆ เธอจึงตัดสินใจเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง และพบว่าก้อนแข็ง ๆ นั้นคือเนื้อร้าย และเธอกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ด้วยความที่ในขณะนั้นเธอยังอายุแค่ 31 ปี
อีกทั้งยังดูแลสุขภาพตัวเองมาตลอดทั้งควบคุมอาหารและออกกำลังกาย เธอจึงไม่เชื่อและคิดว่าหมอตรวจผิด
แต่เธอก็ต้องยอมรับความจริง เธอเข้ารับการรักษา
และต้องยอมรับกับข่าวร้ายอีกเรื่องว่า โอกาสที่จะมีลูกในอนาคตนั้นแทบจะเป็นศูนย์
ตั้งแต่ช่วงปี 2551-2554 อินทิราเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งมาตลอด ทั้งการผ่าตัดและทำเคมีบำบัด สุขภาพร่างกายของเธอแย่ลง ผลของการทำคีโมทำให้เธอคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วงและอ่อนแรง ถึงแม้ว่ามันจะหนักแค่ไหน แต่เธอก็สู้เพื่อจะกลับมามีชีวิตปกติอีกครั้ง และที่สำคัญ เธอต้องการมีลูก
ตั้งแต่ช่วงปี 2551-2554 อินทิราเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งมาตลอด ทั้งการผ่าตัดและทำเคมีบำบัด สุขภาพร่างกายของเธอแย่ลง ผลของการทำคีโมทำให้เธอคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วงและอ่อนแรง ถึงแม้ว่ามันจะหนักแค่ไหน แต่เธอก็สู้เพื่อจะกลับมามีชีวิตปกติอีกครั้ง และที่สำคัญ เธอต้องการมีลูก
"การรักษามันโหดร้าย ฉันคิดว่าฉันกำลังจะตาย แต่ฉันยังตายไม่ได้
ฉันต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้งและฉันอยากเป็นแม่" อินทิรา
กล่าว
อินทิราอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาเป็นไปด้วยดี จนเธอสามารถตั้งครรภ์ด้วยวิธีผสมเทียมได้สำเร็จในปี 2554 และคลอดลูกสาวออกมาในปี 2555 เวลาผ่านไป ชีวิตของเธอดีขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น กระทั่งเธอตัดสินใจที่จะมีลูกคนที่สอง
ร่างกายของอินทิราปกติดีทุกอย่างจนอายุครรภ์เข้าสู่เดือนที่ 6 เธอปวดท้องอย่างรุนแรงและอาเจียนอย่างหนัก ทุกอย่างแย่ลงเรื่อย ๆ เธอผอมลงมาก น้ำหนักลดไปเกือบ 20 กิโลกรัม เธอเจ็บปวดต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับมอร์ฟีน และหลังจากตรวจร่างกายอีกครั้ง เธอก็พบว่าโรคมะเร็งมันกลับมา
"หมอบอกฉันว่า ฉันเป็นมะเร็งระยะที่ 4 เชื้อร้ายลุกลามไปทั่วปอดของฉัน และมันไม่สามารถรักษาให้หายได้ เพราะฉันกำลังตั้งท้องลูกชาย หมอต้องการผ่าตัดเอาเด็กออกมาโดยเร็วที่สุด แต่ฉันคิดว่ามันเร็วเกินไป ฉันไม่ต้องการให้ลูกคลอดก่อนกำหนด และชีวิตของลูกสำคัญกว่าชีวิตของฉัน" อินทิรา กล่าว
อินทิราอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาเป็นไปด้วยดี จนเธอสามารถตั้งครรภ์ด้วยวิธีผสมเทียมได้สำเร็จในปี 2554 และคลอดลูกสาวออกมาในปี 2555 เวลาผ่านไป ชีวิตของเธอดีขึ้น ทุกอย่างดูเหมือนจะราบรื่น กระทั่งเธอตัดสินใจที่จะมีลูกคนที่สอง
ร่างกายของอินทิราปกติดีทุกอย่างจนอายุครรภ์เข้าสู่เดือนที่ 6 เธอปวดท้องอย่างรุนแรงและอาเจียนอย่างหนัก ทุกอย่างแย่ลงเรื่อย ๆ เธอผอมลงมาก น้ำหนักลดไปเกือบ 20 กิโลกรัม เธอเจ็บปวดต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อรับมอร์ฟีน และหลังจากตรวจร่างกายอีกครั้ง เธอก็พบว่าโรคมะเร็งมันกลับมา
"หมอบอกฉันว่า ฉันเป็นมะเร็งระยะที่ 4 เชื้อร้ายลุกลามไปทั่วปอดของฉัน และมันไม่สามารถรักษาให้หายได้ เพราะฉันกำลังตั้งท้องลูกชาย หมอต้องการผ่าตัดเอาเด็กออกมาโดยเร็วที่สุด แต่ฉันคิดว่ามันเร็วเกินไป ฉันไม่ต้องการให้ลูกคลอดก่อนกำหนด และชีวิตของลูกสำคัญกว่าชีวิตของฉัน" อินทิรา กล่าว
การตั้งครรภ์ส่งผลให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเธอเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งส่งผลให้มะเร็งขยายตัวมากขึ้น และทำให้อาการเธอแย่ลงทุกวัน แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะรักษาลูกเอาไว้
และไม่ยอมรับยาที่จะส่งผลกระทบต่อลูก แต่อาการเธอหนักมาก
จนต้องตัดสินใจเข้ารับคีโมก่อนที่เธอจะคลอด ลูกของเธอออกมาอย่างปลอดภัย
แต่ชีวิตของเธอก็เหลืออีกไม่นานแล้ว
"ฉันรู้สึกผิดมากที่ไม่สามารถทำหน้าที่แม่ได้ดี ฉันอยากมีเวลาอยู่กับธิลินีและดีแลน (ลูกสาวและลูกชาย) ให้มากกว่านี้ แต่ฉันต้องติดอยู่ในโรงพยาบาล ดูแลพวกเขาไม่ได้"
หลังจากผ่านการผ่าคลอดลูกชาย อินทิรายังต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคร้าย เธออยากให้สามีของเธอเข้มแข็งและอยู่ให้ได้เมื่อเธอจากไปแล้ว ถึงแม้จะรู้ดีว่าเธอแย่ลงทุกวัน แต่เธอก็ยังคิดบวกอยู่เสมอ
"สามีและลูก ๆ คือสิ่งที่ทำให้ฉันสู้ ฉันคิดบวกเสมอ และใช้เวลาที่เหลืออยู่ อยู่กับพวกเขาให้มากที่สุด ฉันบอกพวกเขาทุกวันว่าฉันรักเขามากเหลือเกิน"
"ฉันรู้สึกผิดมากที่ไม่สามารถทำหน้าที่แม่ได้ดี ฉันอยากมีเวลาอยู่กับธิลินีและดีแลน (ลูกสาวและลูกชาย) ให้มากกว่านี้ แต่ฉันต้องติดอยู่ในโรงพยาบาล ดูแลพวกเขาไม่ได้"
หลังจากผ่านการผ่าคลอดลูกชาย อินทิรายังต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาโรคร้าย เธออยากให้สามีของเธอเข้มแข็งและอยู่ให้ได้เมื่อเธอจากไปแล้ว ถึงแม้จะรู้ดีว่าเธอแย่ลงทุกวัน แต่เธอก็ยังคิดบวกอยู่เสมอ
"สามีและลูก ๆ คือสิ่งที่ทำให้ฉันสู้ ฉันคิดบวกเสมอ และใช้เวลาที่เหลืออยู่ อยู่กับพวกเขาให้มากที่สุด ฉันบอกพวกเขาทุกวันว่าฉันรักเขามากเหลือเกิน"
"ฉันบอกสามีว่า เมื่อฉันตายไปแล้ว ให้เขามีความรักครั้งใหม่
ฉันอยากให้เขาพบใครสักคนที่รักเขาและเอ็นดูลูกของฉัน ฉันไม่เสียใจที่มีลูก สิ่งเดียวที่ฉันกังวลคือฉันจะไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกแล้ว"
หลังจากต่อสู้ด้วยโรคมะเร็งมานานนับปี ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2559 สำนักข่าวซันเดย์ไทมส์ ได้รายงานว่า อินทิราเสียชีวิตแล้วในวัย 40 ปี การจากไปของเธอนำมาซึ่งความโศกเศร้าของทุกคน เธอคือนักสู้โรคมะเร็งที่กล้าหาญ เป็นแม่ที่ยอดเยี่ยม เป็นภรรยาที่น่ารักและเพื่อนที่แสนดีกับทุกคน ถึงแม้ว่าเธอจะจากไปแล้ว แต่เธอจะเป็นที่จดจำตลอดไป
หลังจากต่อสู้ด้วยโรคมะเร็งมานานนับปี ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2559 สำนักข่าวซันเดย์ไทมส์ ได้รายงานว่า อินทิราเสียชีวิตแล้วในวัย 40 ปี การจากไปของเธอนำมาซึ่งความโศกเศร้าของทุกคน เธอคือนักสู้โรคมะเร็งที่กล้าหาญ เป็นแม่ที่ยอดเยี่ยม เป็นภรรยาที่น่ารักและเพื่อนที่แสนดีกับทุกคน ถึงแม้ว่าเธอจะจากไปแล้ว แต่เธอจะเป็นที่จดจำตลอดไป
ภาพจาก
Martyn Dicker,
Herat Mudiyanse
http://hilight.kapook.com/view/144520
No comments:
Post a Comment